คำนำ
รายงานเล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอาณาจักรศรีวิชัย
ผู้จัดทำได้พยายามค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ อาณาจักรศรีวิชัย
ไว้อย่างครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้ผู้สนใจอ่านทราบถึงความสำคัญและรายละเอียดของแหล่งการเรียนรู้
ซึ่งรายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชา การสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
เป็นการฝึกทักษะการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างดี
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัย ณ
ที่นี้ด้วย
อาณาจักรศรีวิชัย
อาณาจักรศรีวิชัย นี้เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้
คือบริเวณที่เป็นแหลมมลายู เดินนั้น ศาสดาจารย์ยอรซ์ เซเดส์ ได้อ่านศิลาจารึกวัดเสมา เมืองนครศรีธรรมราช
พบคำว่าศรีวิชัย จึงมีความเห็นว่า
ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยนั้นอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง
เกาะสุมาตรา ประเทศอินเดีย
เจริญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔
อาณาจักรแห่งนี้ จีนเรียกว่า ชิลิโพชิ
หรือโฟชิ หรือคันโทลี หรือ โคยิง แต่
อาร์ วี มาจุมดาร์
นักประวัติศาสตร์นักโบราณคดีอินเดีย มีความเห็นว่าศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัยนี้ขึ้นอยู่บนเกาะชวา
แล้วต่อมาได้ย้ายมานครศรีธรรมราช และควดริทซ์
เวลส์ นักประวัติศาสตร์อังกฤษว่าอาณาจักรศรีวิชัยนั้นตั้งอยู่ที่เมืองไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรงกับความเห็นของ
หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี
ส่วนซึกโมโน นักโบราณคดี อินโดนีเซียว่า อาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่เมืองจัมบี
หรือซัมพิ ในเกาะสุมาตรา
ด้วยเหตุนี้อาณาจักรศรีวัย จึงปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ
จึงมีศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักรอยู่หลายแห่งดังกล่าว ดังนั้นเมืองสำคัญของศรีวิชัยจึงมีอยู่ทั้งบนแหลมมลายู และเกาะสุมาตรา
เช่น เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองปาเล็มบัง
และเมืองจัมบี เป็นต้น ดังนั้นการเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างเมืองในอาณาจักรแห่งนี้
จึงมีเส้นทางการเดินเรือไปตามเมืองท่าสำคัญและทำให้การติดต่อกับพ่อค้าอินเดียในสมัยอินดียโรมันด้วย
พบแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในภาคใต้ ด้านฝั่งทะเลตะวันออก
จังหวัดชุมพร พบแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบแหล่งโบราณคดีวัดอัมพาวาสที่อำเภอท่าชนะ
แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ที่อำเภอไชยา
สำหรับด้านฝั่งทะเลตะวันตก จังหวัดพังงา
พบแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก คาบสมุทรมลายู
พบแหล่งโบราณคดีเปงกาลัน บุจังที่รัฐเคดะห์
แหล่งโบราณคดีที่กัวลาเซลิงซิง และบูกิต แหล่งโบราณคดีเตงกูเลมบู พบโบราณวัตถุที่เป็นวัฒนธรรมของอินเดีย
แบบฝังสี เหรียญอินเดียโบราณ
เป็นต้น
ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปคาบมหาสมุทรมลายูนั้น ได้พบกลองมโหระทึกในวัฒนธรรมดองซอนอยู่แพร่กระจายตามแหล่งโบราณคดีต่าง
ๆ นับว่าเป็นชุมชนการค้าหรือแหล่งค้าขายของชาวอินเดีย
ซึ่งศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาเป็นหลัก จนชุมชนเหล่านั้นได้รับเอศาสนานั้นเข้าไปทำให้ชุมชนร่มเย็นเป็นสุขในที่สุด
ต่อมาเมืออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น ดินแดนทางแหลมมาลายู หรือแหลมทองนั้นมีการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย สามารถควบคุมเส้นทางการค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับ
เปอร์เซียและยุโรปได้
อาณาศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราของ อินโดนีเซียขึ้นขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์
ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมืองท่า
(ตามพรลิงค์หรือตำพะลิงค์) จังหวัดนครศรีธรรมราช
การพบศิลาจารึกภาษามาเลย์เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น
มีคำว่า ศรีวิชัย ส่วน เมืองครห ในสมัยศรีวิชัยนั้น
เป็นเมืองท่าค้าพริก ดีปลี
และพริกไทยเม็ด โดยมีต้นหมากต้นมะพร้าวอยู่มาก
แต่ยังมีความเชื่ออยู่ว่าเมืองครหิไม่น่าใช่เมืองไชยา กล่าวคือ
เมืองไชยาเป็นสถานที่แห่งเดียวที่สุมาตรา ทีสั่งซื้อมาให้อำมาตย์คลาในผู้ป่วยเมืองครหิ
ได้ทำการจัดการหล่อขึ้น พ.ศ.
๑๗๒๖ ตรงกับมหาศักราช ๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงถึงว่า
ที่สั่งขึ้นมาให้อำมาตย์คลาในผู้ครองเมืองครหิ ได้ทการหล่อขึ้นเมือง
พ.ศ. ๑๗๒๖ ตรงกับมหาราช
๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงว่าครหิ
นั้นเป็นการแสดงอำนาจทางเขมรหรือเกาะสุมาตรา ซึ่งนาจะเป็นครหิ ที่เกิดขึ้นหลังอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลายลงแล้ว
หรือไปขึ้นอยู่กับเมืองตาพรลิงค์ในพ.ศ. ๑๗๐๐
ดังนั้นเมืองไชยานั้นคงจะไม่ใช่เมืองครหิและน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย มากกว่าเมืองปาเล็มบัง
เมืองไชยานั้น ได้มีการสร้างเจดีย์แบบมหายาน ให้องค์เจดีย์เป็นรูปสีขระ แปลว่าแบบภูเขา
คือเจดีย์มียอดจำนวนมาก ตามคติให้มีพระพุทธเจ้าหลานพระองค์
เช่น พระพุทธเจ้าพุทธะ พระมัญศรีพุทธะ พระญาณิพุทธะ เป็นต้น ซึ่งตรงกับเรื่องราวที่ว่า
พระเจ้ากรุงศรีวิชัยได้สร้างไอษฎิเคหะ คือ
เรือนอิฐหรือปราสาทอิฐขึ้น ๓
หลัง สำหรับประดิษฐานพระปฏิมาของ
ปัทมปาณี วัชรปาณี และมารวิชัย ในพื้นที่เมืองไชยาแห่งนี้
พบว่านอกจากจะสร้างเจดีย์ที่พระบรมธาตุแห่งนี้แล้วยังมี
เจดีย์ที่วัดแก้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแต่ต้องชำรุด
และเจดีย์ที่วัดหลงเดิมนั้นเหลือแต่ฐานอิฐที่มีลักษณะเดียวกัน
พระบรมธาตุไชยาองค์ปัจจุบันนี้ได้รับการบูรณะใหม่ เดิมนั้นเป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนอุโมงค์ที่บรรจุหีบศิลาใบใหญ่ใส่พระบรมธาตุและสิ่งของต่าง
ๆ เดิมทีพื้นมีรูระบายอากาศเส้นผ่าศูนย์กลาง
๒ ซ.ม. ๒
แห่ง ต่อมาได้อุดเสีย ต่อมาแม่น้ำพาเอาดินมาถมบริเวณหมู่บ้านเวียงสูงประมาณ ๓ เมตร หรือ
๖ ศอกส่วนพระเจดีย์นี้จมลงไปใต้ดินประมาณเมตรครึ่ง
ต้องขุดแต่งกัน เมืองครหิแห่งนี้หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจลงจึงถูกทิ้งล้างมาจนถึงสมัยอยุธยา
พุทธสาสนาจึงได้ฟื้นฟูขึ้น จึงมีการสร้างพระพุทธรูปศิลาทึบขนาดใหญ่จากหินที่เขานางเอ
อยู่หลังสวนโมกข์ มีอยู่ประมาณ
๓๐๐-๔๐๐ องค์
นั่นหมายถึงศูนย์กลางอำนาจของพวกไศเรนทร (ราชาแห่งจอมเขา)
อยู่ที่บริเวณเมืองไชยา ซึ่งเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียโดยเฉพาะที่เบงคอล
และเป็นเหตุให้พระอวดโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่เป็นฝีมือของช่างแบบปาละแท้เดินทางมาประดิษฐ์ฐานที่เมืองไชยยาได้
โดยเฉพาะการติดต่อมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนามหายานในเบงคอล
จนมีความปรากฏในจารึกแผ่นทองแดงพบที่นาลันทา เมื่อ พ.ศ. ๑๓๙๒
ว่า ด้วยที่ไศเรนทรอุปถัมภ์
มหาวิทยาลัยแห่งนั้นไปจากไชยา ในบริเวณเมืองไชยามีเขาน้ำร้อนเป็นผู้เขาประจำวงศ์ไศเรนทร
สำหรับประดิษฐานพระเป็นเจ้าตามลัทธิพราหมณ์ แม้จะมีการนับถือพุทธศาสนา แล้วยังยึดถือเป็นประเพณีการอาบน้ำร้อนที่ออกมาจากบนหุบเขานั้นถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งมีการจัดทำสระน้ำสำหรับอาบพระราชาตามประเพณีของอินเดีย
เรื่องนี้หากรวมไปถึงเขานางแอ แล้วจะพบถ้ำนั้นมีสระบัวขนาดใหญ่ของสระ
น่าจะมีบริเวณที่สวยงาม และหากจะทั้งทองประจำวันลงตามสระตามตำนานราชาแห่งซาบากก็ทำได้
เมืองไชยาโบราณนี้เดิมเป็นเมืองไชยยาขนาดใหญ่กว่าเมืองตามพรลิงค์ ซึ่งมีชุมชนเมืองเก่า
และสร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา เจดีย์ที่วัดแกว
เจดีย์ที่วัดเวียง เจดีย์วัดหลง
และพระอวโลกิเตศวรอย่างชวาอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรขนาดเท่าคนที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี
เส้นทางติดต่อนั้นมีแม่น้ำหลวง (แม้น้ำตาปี) ไหลผ่าน เมื่อสำรวจเส้นทางพบว่าไปได้ถึงคีรีรัฐ
ซึ่งมีทางข้ามไปลงตะกั่วป่าได้อย่างสบาย น่าจะเป็นเส้นทางเดินของชาวอินเดียทางหนึ่ง สำหรับเมืองตามพรลิงค์นั้นมีพระบรมธาตุองค์เดียวเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาสมัยหลัง
และมีหาดทรายแก้วกับลุ่มแม่น้ำน้อย ประการสำคัญอ่าวบ้านดอนนั้นเป็นแหล่งที่เรือสินค้าจากจีนใช้เป็นใช้เป็นท่าจอดเรือในสมัยโบราณได้
และรอบอ่าวบ้านดอนนั้นก็เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ในจารึก พ.ศ. ๑๗๗๓
ระบุว่า พระเจ้าจันทภาณุยังมีอำนาจอยู่เหนือดินแดนอ่าวบ้านดอน
สำหรับเมืองครหินั้นน่าจะอยู่แถวใต้เขมรมาทางญวน หรือแถวคอคอดกระ
พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย หลวงจีนอี้จิง
เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนทางเรือของอาหรับผ่านฟูนัน
มาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยนี้ ในเดือน
๑๑ พ.ศ. ๑๒๑๔
เป็นเวลาสองเดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี
ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่าตามรลิปติที่อินเดีย
เพื่อสืบพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิง
บันทึกไว้ว่า ประชาชนทางใต้ของแหลมมลายูส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสราม
ซึ่งมีอิทธิพลมาจากพ่อค้ามุสลิมอาหรับ ที่เดินผ่านไปยังประเทศจีน
ศาสนาอิสลานั้นได้เผยแพร่ไปยังประเทศจีน ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่ไปยังมะละกา กลันตัน
ตรังกานู ปาหัง และปัตตานี จนกลายเป็นรัฐอิสลามไป
ต่อมาใน พ.ศ. ๑๕๖๘ อาณาจักรศรีวิชัยถูกอาณาจักรโจฬะ
จากอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ยกทัพเรือเข้าไปโจมตีทำให้อ่อนกำลังลง
หลังจากนั้น พ.ศ. ๑๙๔๐ อาณาจักรศรีวิชัยได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต
ที่มีอำนาจจากชวา
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง แคว้นสุโขทัยนั้นได้แผ่อำนาจลงมายังหัวเมืองต่าง
ๆ ตลอด แหลมมาลายู และที่เมืองนครศรีธรรมราช
เป็นเมืองสำคัญที่คอยดูแลหัวเมืองต่าง ๆ ทางใต้
ประวัติอาณาจักร
ศรีวิชัย
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้ระบุว่า
ศรีวิชัยน่าจะสถาปนาในช่วงเวลาก่อนปีพ.ศ. 1225 เล็กน้อย ขณะที่ เสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ เลขานุการคณะอนุกรรมการตรวจสอบหลักฐานอาณาจักรศรีโพธิ์ วุฒิสภา ระบุว่า
อาณาจักรศรีโพธิ์ (ศรีวิชัย) สถาปนาขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 1202 โดยใช้หลักการทางดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ตรวจหาวันที่จากเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ ที่อ้างอิงถึงในตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับการสถาปนาอาณาจักรที่ว่า
![]() |
หลังเสร็จสิ้นสงครามแย่งช้าง
ต่อมาได้เกิดสุริยคราสแหวนเพชร
ขึ้นในท้องที่ดังกล่าว หลังจากนั้นอีก 7 วัน มหาราชทั้งสอง
ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกที่เขาสุวรรณบรรพต แล้วขึ้นครองราชสมบัติ สถาปนาอาณาจักรศรีโพธิ์
|
![]() |
ส่วนที่ตั้งเมืองหลวง
มีการถกเถียงกันจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่มีสองแนวคิดที่เชื่อถือกันอยู่คือ
คู่เมืองไชยา-สุราษฎร์ธานี และที่เมืองปาเล็มบัง (สุมาตรา)
ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานเป็นจารึกชัดเจนว่า ปีพ.ศ. 1369 พระเจ้าศรีพลบุตร (ครองชวากลาง) พระนัดดาในพระเจ้าศรีสงครามธนัญชัย (ครองทั้งศรีวิชัยและชวากลาง) ยกทัพจากชวากลางมาตีศรีวิชัย จากพระใหญ่ (พระนัดดาอีกสายของพระเจ้าศรีสงครามฯ ที่ครองศรีวิชัย)
แล้วชิงได้ราชสมบัติไป แนวความคิดเรื่องชวากลาง (สถานที่ประดิษฐานเจดีย์บุโรพุทโธ) เป็นเมืองหลวงจึงตกไป
มีการพบศิลาจารึกภาษมลายูโบราณเกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยนี้
ทั้งที่สุมาตรา และที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
และพบศิลาจารึกภาษาสันสกฤต เมืองไชยาระบุว่าศรีวิชัยเป็นเมืองท่าค้าพริก
ดีปลีและพริกไทยเม็ด โดยมีต้นหมากและต้นมะพร้าวจำนวนมาก
หลวงจีนอี้จิง เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนโดยเรือของพวกอาหรับ ผ่านฟูนันมาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยในเดือน
11 พ.ศ. 1214 เป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่า ตามพรลิงก์ที่อินเดีย
เพื่อสิบทอดพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย ประชาชนทางแหลมมลายูเดิมส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็ได้ติดต่อกับพ่อค้าอาหรับมุสลิม
ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ดังนั้นในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามจึงได้เผยแพร่ไปยังมะละกา
กลันตัน ตรังกานู ปาหงะ และ ปัตตานี จนกลายเป็นรัฐอิสลามไป ต่อมาใน พ.ศ. 1568 อาณาจักรศรีวิชัยได้ตกอยู่ใต้อำนาจและกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมัชปาหิตของชวาใน พ.ศ. 1940 แต่มีหลักฐานจากตำนานเมืองเพชรบุรีว่า
อาณาจักรศรีวิชัยได้ล่มสลายไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะตำนานฯระบุว่า
ก่อนพระพนมวังจะได้สถาปนาอาณาจักรนครศรีธรรมราชในปีพ.ศ. 1830 นครศรีธรรมราชมีสภาพเป็นเมืองร้างมาก่อน
การล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัย
1.ถูกกองทัพทมิฬจากอินเดียรุกราน
2.ถูกลดทอนกำลังจากรัฐใหม่ๆบนเกาะชวา
3.ถูกบีบจากกลุ่มรัฐสยามบนแผ่นดินใหญ่
4.พื้นมี่กว้างเกินไปเกินจะปกครอง
5.พื้นที่ยุทธศาสตร์ขาดความอุดมสมบูรณ์
และจากข้อความจากคัมภีร์เก่าแก่ของชาวอินเดียสมัยต้นพุทธกาล หลวงจีนอี้จิง ได้เรียกอาณาจักรในคาบสมุทรภาคใต้ ว่าประเทศทั้งสิบ แห่งทะเลใต้ หรือ อาณาจักร ศรีวิชัย โดยยังมีการถกเถียงกันถึงที่ตั้งของเมืองหลวงว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ตามศิลาจารึก หลักที่ 35 พบที่บ้าน ดงแม่นางเมือง จังหวัด นครสวรรค์ กล่าวว่า เมื่อ ปี พ ศ 1710 พระเจ้ากรุงศรีธรรมโศก ได้ขยายอำนาจขึ้นไปครอบครองดินแดนในแถบภาคกลางของประเทศไทย ต่อจากนั้นดินแดนแถบนี้ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของเขมร ครั้นใน พ.ศ. 1773 ศิลาจารึกพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช กล่าวว่าพระองค์ทรงกอบกู้อิสรภาพกรุงตามพรลิงค์กลับคืนมาได้ ภายหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว อนุชาของพระองค์เสวยราชสมบัติแทน ตำนานกล่าวว่า
" ... พญาจันทรภาณุผู้น้องเป็นพระยาแทน พญาจันทรภาณุเป็นพระยาอยุ่ได้ 7 ปี เกิดไข้ยมบนลงทั้งเมือง คนตายวินาศประลัย พญาจันทรภาณุ พญาพงศาสุราหะอนุชา และมหาเถรสัจจานุเทพกับครอบครัวลงเรือหนีไข้ยมบน ไข้ก็ตามลงเรือพญาและลูกเมียตายสิ้น พระมหาเถรสัจจานุเทพก็ตาม เมืองนครทิ้งร้างเป็นป่ารังโรมอยู่หึงนาน..." หลักฐานเท่าที่หยิบยกขึ้นมาอ้างอิงแสดงให้เห็นว่า กรุงศรีธรรมโศกหรือกรุงตามพรลิงค์ หรือเมืองนครศรีธรรมราช เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยแล้วล่มสลายไปเมื่อครั้งเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ถูกทิ้งร้างจมอยู่กลางป่าอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งพวกเจ้าไทยลงมาปกครองและฟื้นฟูบูรณาการบ้านเมืองขึ้นใหม่ ดังปรากฏเรื่องราวอยุ่ในตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช ไม่มีใครทราบว่าในการฟื้นฟูบูรณาการกรุงศรีธรรมโศก และพระมหาธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ในครั้งนี้ มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความเป็นมาอย่างไร คงทราบความจากตำนานแต่เพียงว่า พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงโปรดให้มีตรามาเกณฑ์ผู้คนสร้างเมืองนครศรีธรรมราชและพระธาตุจนเสร็จสิ้นในสมัยขุนอินทราชาเป็นเจ้าเมือง ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระศรีมหาราชา จนกระทั่งชาวนครศรีธรรมราชผู้หนึ่งสนใจศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ได้ค้นคว้าพบดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชเก่า จดบันทึกไว้ในสมุดข่อยในหอสมุดแห่งชาติ จึงนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ว่า เมืองนครศรีธรรมราชเก่าสถาปนาขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ตรงกับพุทธศักราช 1830
อาณาจักรศรีวิชัยนั้นเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจทางทะเลตอนใต้ จึงเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าทางทะเล ทำให้มีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง ศูนย์กลางของอาณาจักรนี้ น่าจะอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนเมืองไชยา(อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ซึ่งพบหลักฐานเป็นศิลาจารึก และพระพุทธรูปโบราณเป็นจำนวนมาก จนนักประวัติศาสตร์ไทยว่า เมืองไชยานี้น่าเป็นศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัยนั้น จากความในจารึกกาลาสันเมื่อพ.ศ.๑๓๒๒ ดังกล่าว ทำให้มีข้อสันนิษฐานใหม่ว่า เมืองไชยาน่าเป็นเมืองหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัยมากกว่า และมีฐานะเป็นเมืองท่าสำคัญ เช่นเดียวกับเมืองตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช ) ที่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราชในอาณาจักรศรีวิชัยมาก่อน เหมือนเมืองต่างๆที่อยู่บนแหลมมลายู
อาณาจักรศรีวิชัยมีอำนาจที่แผ่กว้างไพศาลมาก ในสมัยนั้นมีอาณาเขตครอบคลุมช่องแคบมะละกา ชวา สุมาตรา แหลมมลายู และหัวเมืองภาคใต้ของไทย เป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านพระพุทธศาสนาอยู่ในพุทธศตวรรษที่๑๓-๑๗ จนเป็นเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาเผยแพร่ทางเมืองไชยา เมืองตามพรลิงค์(เมืองนครศรีธรรมราช) ดังปรากฏหลักฐานในการสร้างพระบรมธาตุสำคัญที่เมืองตามพรลิงค์และเมืองไชยา ซึ่งพบพระพุทธรูปอวโลกิเตศวรที่เมืองไชยา และในขณะเดียวกันพระธรรมคัมภีร์ในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ก็ได้เข้ามาเผยแพร่เช่นกัน ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นั้น อาณาจักรศรีวิชัยได้เสื่อมอำนาจลง อาณาจักรที่เกิดใหม่ คือ อาณาจักรมัชปาหิต ได้มีอำนาจอยู่ในเกาะชวาก็ขยายอาณาเขตเข้ามาครอบครองดินแดนส่วนนี้แทนอาณาจักรศรีวิชัย |